วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

กิจกรรม " รู้รัก รู้ป้องกัน รู้ทันโรคเอดส์"

กิจกรรม " รู้รัก รู้ป้องกัน รู้ทันโรคเอดส์ "
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2556


ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี

กิจกรรม "วันแม่ "

กิจกรรม " วันแม่แห่งชาติ "
วันที่ 12 สิงหาคม 2556  


ณ ศาลากลาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

กิจกรรม " แห่เทียนพรรษา"

กิจกรรม " แห่เทียนพรรษา" 

วันที่ 19  กรกฎาคม  2556


...เริ่มแห่จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี ไปวัดธรรมบูชา...

กิจกรรม "ประดิษฐ์ดอกกุหลาบจากใบเตยหอม "

กิจกรรม "ประดิษฐ์ดอกกุหลาบจากใบเตยหอม "

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2556


วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี

กิจกรรม... " ห้องน้ำสะอาด"

กิจกรรม  " ห้องน้ำสะอาด สร้างสุข "

วันศุกร์ ที่5  กรกฎาคม 2556

วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี


 


สอนเต้น...


สอนเล่นกีต้าร์โปร่ง


สอนถักเปียด้วยตัวเอง


สอนแต่งหน้า..


สอนทำอาหาร... ไข่ยัดไส้


วิธีถนอม ดวงตา ขณะใช้คอมพิวเตอร์ ..



 ในโลกยุคปัจจุบัน หลายๆคนต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ซึ่งอาจเกิดอาการตาแห้ง สายตาล้าได้

1. เริ่มจาก 'จอภาพ' ควรห่างจากสายตาประมาณ 1 ช่วงแขน และตั้งกับโต๊ะที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป หากระยะห่างระหว่างจอกับตาไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้รู้สึกเมื่อยล้า และปวดตาได้ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณไหล่ และหลังเกร็ง เนื่องจากท่านั่งไม่สมดุล และต้องก้ม-เงย เป็นเวลานาน

2. ปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ให้รู้สึกสบายตา โดยดูจากสภาพแวดล้อมในห้องด้วยว่า เมื่อส่องมากระทบจะมีแสงจ้าเกินไปหรือไม่ เพราะแสงที่สว่างมากจะส่งผลเสียต่อตาได้ง่าย อาจทำให้รู้สึกแห้งและแสบตา นอกจากนี้ อาจติดแผ่นกรองรังสี เพื่อลดการกระจายแสง


 3. คลายความล้า โดยหยุดพักทุกๆ 30 นาที มองไปไกลๆ หรือหลับตาประมาณ 5 นาที จากนั้น อาจเปลี่ยนอิริยาบถยืดเส้นยืดสาย เพื่อลดปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเนื่องจากการใช้คอมพิวเตอร์ เป็นเวลานาน


 4. หลังใช้งานคอมพิวเตอร์เสร็จ หลับตา แล้วใช้น้ำเย็นชโลมดวงตา หรือหาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาปะคบประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี




ข้อห้าม...เมื่อเข้านอน

 การนอน คือ การพักผ่อนที่ดีที่สุด หลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน 



 1. อย่าใส่นาฬิกาข้อมือนอน เพราะขณะที่นาฬิกาทำงานไปเรื่อยๆ นั้น ล้วนปล่อยพลังงานออกมา ถ้าใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพในระยะยาว

     2. ไม่ควรนอนหลับไปพร้อมๆ กับโทรศัพท์ หรือวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ใครที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า ต้องวางมือถือไว้ห่างๆ เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือ จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาท เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ควรปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า

     3. อย่าหลับไปพร้อมกับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าสักแค่ไหน ก็ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้า จะทำให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณในระยะยาว

     4. (สำหรับสาว ๆ เท่านั้น) อย่าใส่ยกทรงนอน เพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน พบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย

10 วิธีคลายเครียด


1. ฟังเพลง หามุมสงบ
     นั่งปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วฟังเพลง เบาๆ โดยเฉพาะเพลงจำพวก Meditation ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายแบบตามความต้องการ ทั้งเสียงของดนตรี บรรเลง หรือเสียงธรรมชาติ จำพวกเสียงคลื่น.. เสียงน้ำตก.. เสียงนกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคื่นสู่สมอง และจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ

2. ฉายเดี่ยวดูภาพยนตร์
     ขอแนะนำให้ฉายเดี่ยวแล้วตีตั๋วดูหนังดีๆ สักรอบ เพราะการไปดูหนัง เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะปลดปล่อยความรู้สึกให้ ล่องลอยอย่างเป็นอิสระ ไม่จมอยู่กับปัญหา และยังเป็นการระบายความอัดอั้นตันใจได้อย่างเห็นผล แต่ต้องถามตัวเองก่อน ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เช่น ถ้าอยากร้องไห้ก็ไปดูหนังรักเศร้าเคล้าน้ำตา แล้วก็ร้องไห้ออกมาให้พอ หรือถ้าเครียดจัดก็จงไปดูหนังตลกแล้วหัวเราะให้หลุดโลกไปเลย
3. โทรหาเพื่อนรู้ใจ
     อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้ดี ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสันคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ เพราะการมีคนรับฟังและให้คำปรึกษา จะทำให้ชีวิตที่เอียงกะเท่เร่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า ไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลก
4. เขียนไดอารี่
     การเขียนไดอารี่ เปรียบเสมือนการเปิดประตูอารมณ์ที่ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจต่างๆ ได้ไหลลงสู่หน้ากระดาษอย่างเป็นอิสระ และเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะการถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขื้น อีกทั้งระหว่างการเขียนไดอารี่นั้นยังถือเป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดีที่สุดด้วย และข้อดีอีกอย่างหนึ่ง คือ ไดอารี่เป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ที่สุด เพราะรับฟังเราเสมอ และไม่เคยเอาความลับไปบอกต่ออีกด้วย
5. พลังแห่งการสัมผัส
     ลองมองหาใครสักคนช่วยโอบกอด หรือสัมผัสเบาๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าดูสิ เพราะร่างกายคนเราเวลาถูกสัมผัสเนี่ย จะทำให้เกิดฮอร์โมนที่ชื่อ "อ๊อกซี่โทชิน" ซึ่งมีผลในการลดระดับความเหนื่อย และความเครียด ช่วยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

6. สร้างอารมณ์ขัน
     พยายามมองหาเพื่อนที่มีอารมณ์ขัน ช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง เพราะคนที่หัวเราะง่ายจะมีสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจาก การหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิต และระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลง (ฮอร์โมนคอร์ติซอล คือ ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด) แถมยังช่วยเสริมสร้างระดับของ "อิมโมโนโกลบูลินเอ" ซึ่งเป็นสารแอนตี้บอดี้ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกด้วย เพราะฉะนั้นหัวเราะเข้าไว้ แล้วจะดีเอง
7. สูดกลิ่นหอม
     รู้หรือเปล่าว่า กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มีผลในการช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว และยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียดๆ ก็ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ อย่างกลิ่นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยในน้ำอุ่นกำลังดี แล้วนอนแช่ตัวให้เพลินสักครึ่งชั่วโมง กลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูก
8. ไปตากอากาศ
     หาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์ กับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติสักพัก หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด แล้วก็นอนให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะนอน เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้า และหดหู่แบบไม่ทราบสาเหตุ มันมาจากชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลบไปนอนตากน้ำค้างดูดาวเสียบ้าง หัวใจจะได้ชาร์จพลังได้ดีขึ้น
9. หาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน
     ลองหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาเป็นเพื่อนเล่นก็ไม่ เลวนะ เพราะการให้เวลากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด คุยเล่น หยอกล้อกับมันเสียบ้าง จะช่วยให้จิตใจอันแสนจะฟุ้งซ่าน สงบลงได้ แถมรู้จักการให้และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วยนะ
10. จินตนาการแสนสุข
      อีกทางเลือกสำหรับการบรรเทาความหดหู่ในส่วนลึก เป็นการดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน ทำได้โดยหลับตาแล้วหายใจลึก ๆ จากนั้นก็สร้างจินตนาการถึงความฝันที่วาดหวังเอาไว้ หรือแม้แต่ความหลังอันแสนสุขที่เคยมีการดึงความสุขจากจินตนาการมาใช้จะ ทำ ให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในหัวใจ และยังช่วยสลายความเครียดข้างในได้เป็นอย่างดี ทำแบบนี้เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองรู้สึกดีแบบทันตาเห็น 


กรุ๊ปเลือดกับอาหารต้องห้าม!!


 ถือว่า เป็นเลือดกรุ๊ปแรกของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกของโลกที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร ดังนั้น คนที่มีเลือดกรุ๊ป O จะมีสุขภาพแข็งแรงดี สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยโปรตีนได้ง่าย
            แต่มักมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานไม่ดีนัก ดังนั้น อาหารที่เลือกรับประทาน ได้แก่ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันมาก โดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแผลเน่าเปื่อย หรือเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้น การรับประทานเพื่อบำรุงจึงขาดกันไม่ได้
            ควรเลือกรับประทาน ผักใบเขียวเพื่อได้รับวิตามินเค จะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น นอกจากผักใบเขียวแล้ว คนกรุ๊ปเลือดนี้ ควรรับประทาน มะเขือเทศ แครอท และน้ำผลไม้รวม เพื่อเพิ่มเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา และควรออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมาก เช่น การแอโรบิค ว่ายน้ำ จะทำให้ช่วยคุมน้ำหนักให้คงที่ได้เป็นอย่างดี

 กลุ่มเลือดนี้เกิดขึ้นในช่วงหมดยุคสมัยแห่งการล่าสัตว์ มนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งและรู้จักการเพราะปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารแทนเนื้อสัตว์ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้จึงเหมาะกับอาหารประเภทข้าว แป้ง และผัก ผลไม้เป็นที่สุด
            ข้อควรจำ คือคนเลือดกรุ๊ป A จะอ่อนไหวต่อโรคมะเร็งมากกว่า หมู่อื่นๆ ควรลดหรือละเว้น นม เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ป A เอง และเนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และอาหารสำเร็จรูปที่มีสารไนไตรท์มาก อาหารที่ควรเลือกรับประทานได้แก่ อาหารทะเล ผักต่างๆและธัญพืช เช่น ซีเรียลโฮลวีท ที่มีใยอาหาร ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร วิตามินบี เพื่อช่วยการทำงานของระบบประสาท และเม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง
            ข้อควรระวังสำหรับคนกรุ๊ปเลือดนี้ คือความเครียด การออกกำลังกาย ที่ใช้พลังงานมาก กลับยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงควรฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ตีกอลฟ์ หรือเต้นระบำเพื่อรักษาสมดุลตามธรรมชาติ


  พวกที่อยู่ในกลุ่มเลือดกรุ๊ป B ถือว่าเป็นเลือดที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มทำการเกษตรเป็นแล้ว ก็เริ่มนำสัตว์มาเลี้ยงและรับประทานเนื้อ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงรับประทานได้หลากหลาย ทั้งเนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้
            แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีไปเสียหมด เพราะจุดอ่อนอยู่ตรงที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ดังนั้ นจึงควรเสริมอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ข้าวกล้อง นมและผลิตภัณฑ์จากนม อย่างการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ ทำจากนม สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าท้องไส้จะปั่นป่วน หรือท้องเฟ้อเรอเหม็น เปรี้ยว อย่างคนกรุ๊ปเลือด A
            ส่วนการออกกำลังกาย สามารถทำได้หลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แอโรบิค ว่ายน้ำ กอล์ฟ หรือแม้แต่โยคะ

 มาถึงเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เรา พบว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 1,000 กว่านี้เอง จะมี 2 ลักษณะในตัว คือเป็นได้ทั้ง แบบกรุ๊ป A และกรุ๊ป B จึงสามารถรับประทานได้ทั้ง 2 กรุ๊ปเลือดตามใจชอบ
            แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก และเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เนื่องจากน้ำย่อยมีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ไม่ค่อยดีนัก มักจะมีกรดเกิดขึ้นมาก ในท้องส่วนล่าง หรือลำไส้ใหญ่ อาจสังเกตได้ง่ายๆ ถ้ามีอาการผิดปกติ คือ จะเรอบ่อย
            อาหารที่ควรรับประทาน เช่น อาหารทะเล ผักสด เต้าหู้ ผลไม้จำพวกส้มโอ องุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโยเกิร์ต เนื่องจากจะช่วยในการย่อย กระเพราะอาหารไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป และควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อขับไล่ของเสียในร่างกายที่มีมากกว่าคนกรุ๊ปอื่น ซึ่งเป็นเพราะความซับซ้อนทางด้านชีวเคมี ส่วนการออกกำลังกาย เลือกที่ทำให้จิตใจสงบมีสมาธิ อย่างเช่น โยคะ ยิงธนู เป็นต้น



อาหารเช้า สำคัญแค่ไหน??



 ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น มีหลายๆ สิ่งที่คนเรามักจะมองข้ามไป เช่น อาหารเช้า โดยปกติ คนเราจะรับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ แต่บางคนจะรับประทานอาหารเพียงวันละ 2 มื้อ หรือมากกว่านี้
               ในกรณีที่รับประทานอาหารเพียง 2 มื้อ มักจะงดอาหารมื้อเช้า ด้วยเหตุผลนานับประการ เช่น ต้องตื่นเช้าไปเรียน ไม่มีเวลาจะกินมื้อเช้า หรือบางคนงดอาหารเช้า เพราะต้องการลดน้ำหนัก เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เพราะกระเพาะอาหารของคนเรามีขนาดความจุที่จำกัดสำหรับอาหารแต่ละครั้ง โดยเฉพาะ ในเด็กวับเรียน ซึ่งมีขนาดของกระเพาะอาหารเล็กกว่าผู้ใหญ่ ในขณะที่ความต้องการพลังงาน และสารอาหารต่อหน่วยน้ำหนักมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะเป็นวัยที่ยังมีการเจริญเติบโต จึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารอย่างน้อย 3 มื้อ

โดยปกติ คนเราจะพักผ่อนด้วยการนอนหลับ วันละประมาณ 8-12 ชั่วโมง ในช่วงเวลานั้นการใช้สารอาหารต่างๆ ยังคงดำเนินไปตลอดเวลา ปริมาณสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะระดับนั้นตาลในเลือดจะลดลง ดังนั้น หลังจากการนอนหลับพักผ่อน จึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มระดับสารอาหารในร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำกิจกรรมต่อไป 
               การบริโภคอาหารมื้อเช้าถือว่าเป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด เมื่อตื่นนอนในตอนเช้า เราไม่ได้รับประทานอาหารนับจากมื้อเย็นประมาณสิบชั่วโมง หรือมากกว่า ระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำ เราจะรู้สึกหิว เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพิ่ม สมองจะกระตุ้นศูนย์ควบคุมความหิวให้เราเกิดความรู้สึกหิว ซึ่งทำให้เราหิวมาก และรับประทานอาหารในมื้อถัดมาในปริมาณมากขึ้น หากเรายังไม่รับประทานอาหารเช้าอีก ร่างกายต้องไปดึงพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตที่สะสมไว้ในตับมาใช้ แต่ไม่นานนักพลังงานส่วนนี้จะถูกใช้หมดไป สุดท้ายร่างกายอาจจะปรับสมดุลโดยการลดกลไกการเผาผลาญพลังงานในร่างกายลง เพื่อสำรองไว้ใช้อย่างจำเป็น เมื่อมื้อใดเรารับประทานอาหารเข้าไปมากจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไป และพลังงานที่เกินจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไว้ในร่างกาย ทำให้เรามีน้ำหนักเพิ่มขึ้น
               การไม่รับประทานอาหารเช้า อาจเป็นสาเหตุของการเกิด "โรคอ้วน" ได้ เพราะช่วงเวลาระหว่างมื้อเย็น กับมื้อกลางวันนั้น จะรู้สึกหิวมาก ทำให้รับประทานอาหารเป็นประเภทจุบจิบ (เช่น อาหารประเภทขนมขบเคี้ยว ขนมหวาน และน้ำอัดลม เป็นต้น) มากขึ้น โดยอาหารเหล่านี้แฝงไปด้วย เกลือ น้ำตาล และไขมันอิ่มตัวเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของเรา ทำให้อ้วนมากขึ้น และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆ ตามมาหลายอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคข้อ และกระดูกอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเจ็บป่วย และการตายในผู้ใหญ่